750 จำนวนผู้เข้าชม |
 
                    เลือกพอร์ตตามความเสี่ยงที่รับได้
เลือกพอร์ตตามระยะเวลาของเป้าหมาย
แต่บ้างครั้งเราอาจจะไม่แน่ใจว่าจริง ๆ ความเสี่ยงที่เรารับได้อยู่ประมาณเท่าไร วันนี้ ผมมีตัวเลขมาแชร์กันดังรูปข้างล่าง

เป็นการทดสอบด้วย ดัชนี S&P500 และ AGG ETF ซึ่งการเน้นลงทุนใน ตราสารหนี้ของ USA โดยทดสอบปี 2004 – Aug 2022 ซึ่งผ่านช่วง วิกฤตของการเงิน Sub-prime มาแล้ว จะได้ผลตอบตารางนี้

ดังก่อนเลือกจะต้องถามตัวเองว่า พร้อมที่จะเจอ Max Drawdown ได้มากขนาดไหน 
Maximum Drawdown เป็นการวัดระดับผลตอบแทนขาดทุนสูงสุดในอดีตที่ผ่านมาเมื่อเทียบจากจุดที่เคยได้รับผลตอบแทนสูงที่สุด (Historical Peak) โดยค่า Maximum Drawdown บอกถึงอดีตที่ผ่านมาของกองทุนนั้น ปรับลดลงยาวนานมากน้อยแค่ไหน และทำให้เกิดการขาดทุนเป็นจำนวนเท่าใด หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ความเสี่ยงที่จะเกิดการขาดทุนสูงสุดจากการลงทุน
ถ้าคุณสามารถเจอ Max Drawdown ได้เพียง – 24% ตอนเจอ วิกฤตของการเงิน นั้นหมายถึง พอร์ตที่คุณเลือกจะได้หุ้น 50% และ ตราสารหนี้ 50% 
หรือ ถ้าคุณต้องการ ผลตอบแทนระยะยาว 8%  พอร์ตที่คุณเลือกได้เป็น หุ้น 80% และตราสารหนี้ 20% แต่ต้องถามตัวคุณเองว่าพร้อมเจอ Max Drawdown ได้ที่  -35%  ตอนเจอ วิกฤตของการเงิน
ตัวอย่างพอร์ตแบบ หุ้น 80% และ ตราสารหนี้ 20%


จะเห็นว่า ตอนเจอวิกฤตของการเงิน เจอ Max Drawdown -40% ในขณะที่ปี 2022 เจอประมาณ -20% จะมีระยะเวลา recovery ให้มูลค่าพอร์ตขึ้นมาเท่าเดิมประมาณ 2 ปี แต่ผลตอบแทนของพอร์ตระยะยาวจะได้ 8.17% ต่อปี
ตัวอย่างพอร์ตแบบ หุ้น 50% และ ตราสารหนี้ 50%

จะเห็นว่า  ตอนเจอวิกฤตของการเงิน เจอ Max Drawdown -24.76%  ในขณะที่ปี 2022 เจอประมาณ -16%  จะมีระยะเวลา recovery ให้มูลค่าพอร์ตขึ้นมาเท่าเดิมประมาณ  1 ปี กับ 3 เดือย แต่ผลตอบแทนของพอร์ตระยะยาวจะได้ 6.49% ต่อปี
ตัวอย่างพอร์ตแบบ หุ้น 20% และ ตราสารหนี้ 80%

จะเห็นว่า  ตอนเจอวิกฤตของการเงิน เจอ Max Drawdown -12.12%  ในขณะที่ปี 2022 เจอประมาณ -12%  จะมีระยะเวลา recovery ให้มูลค่าพอร์ตขึ้นมาเท่าเดิมประมาณ  9 เดือน แต่ผลตอบแทนของพอร์ตระยะยาวจะได้ 4.53% ต่อปี
ลองสำรวจตัวเองว่า สามารถรับรู้การเห็นมูลค่าลดลงได้มากน้อยแค่ไหน ก่อนจะตัดสินเลือกพอร์ตการลงทุน
 
บทความโดย
สมพจน์ พัดสุวรรณ AFPT / IP 
BMK Wealth Management "เคียงข้างทุกความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน"